ประเทศไอซ์แลนด์ ดินแดนแห่งน้ำแข็งบนภูเขาไฟ เส้นทางในฝันของนักเดินทางที่จะไปชื่นชมความสวยงามของธรรมชาติและปรากฎการณ์ “แสงเหนือ” วันนี้เรามีเส้นทางแนะนำพร้อมบริเวณที่ควรพัก เพื่อความสะดวกสบายในการ “ออกล่า” แสงเหนือในแต่ละค่ำคืน
ในความเป็นจริงหากเกิดปรากฎการณ์แสงเหนือขึ้น ก็สามารถชม ณ บริเวณใดก็ได้ที่มืดสนิทและฟ้าเปิดเป็นใจไร้เมฆบดบัง (ลิงค์แนะนำ https://en.vedur.is/ เช็คพยากรณ์อากาศ ความหนาแน่นของเมฆบนท้องฟ้า และค่า KP ณ ประเทศไอซ์แลนด์) แต่หากต้องการถ่ายภาพแสงเหนือพร้อมฉากหลังที่สวยงามอลังการณ์งานสร้าง ก็ควรจะหาฉากหลัง (หรือเรียกว่าฉากหน้าดี ?) มาประกอบให้กับแสงเหนือพระเอกของเรา เส้นทางที่จะแนะนำสำหรับผู้ที่มีเวลาประมาณ 5-6 คืน คือเส้นทางยอดนิยมของการท่องเที่ยวไอซ์แลนด์ คือ เส้นทางท่องเที่ยวภูมิภาคทางตอนใต้นั่นเอง
วันที่ 1 เริ่มต้นจากสนามบินนานาชาติ “Keflavík” แวะเที่ยวตามสถานที่น่าสนใจต่าง ๆ สามารถพิมพ์ชื่อสถานที่หาบน Google Map ได้อย่างง่ายดาย (เวลาที่เหมาะสมปรับเปลี่ยนตามเวลาการเดินทางมาถึงประเทศไอซ์แลนด์ของแต่ละสายการบิน)
บริเวณที่แนะนำให้พัก : จาก Grindavik ขับรถไปที่ Kirkjufell Mountain ใช้เวลาประมาณ 3 ชม. ฟังดูไกลแต่ต้องยอมหน่อยเพราะหากคืนนี้เกิดแสงเหนือ สถานที่แห่งนี้ถือว่าเป็นแลนด์มาร์กของประเทศไอซ์แลนด์เลยทีเดียว แนะนำให้เข้าพัก ณ เมือง Grundarfjörður มีที่พักระดับ 2-4 ดาวให้เลือกมากมาย มีซุปเปอร์มาเก็ต “Samkaup” ขนาดใหญ่พอสมควรไว้เติมเสบียง และใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที เพื่อที่จะไปออกล่าแสงเหนือ ณ Kirkjufell Mountain หรือที่นิยมเรียกกันว่า ภูเขาหมวกแฮรี่พอร์ตเตอร์ จุดนี้เป็น 1 ในสถานที่ ที่ได้รับความนิยมในการมาล่าแสงเหนือเป็นอย่างยิ่งและเป็นสถานที่เดียวในเส้นทางแนะนำที่ตั้งอยู่ ณ ภูมิภาคตะวันตกของประเทศ
วันที่ 2 วันนี้ตอนกลางวันแวะเที่ยวเส้นทางที่ได้รับการขนานนามว่า Golden Circle การท่องเที่ยวภูมิภาคทางตอนใต้ของไอซ์แลนด์ อุทยานแห่งชาติ Thingvellir National Park , น้ำตก Gullfoss Falls , น้ำพุร้อน Geysir
บริเวณที่แนะนำให้พัก : Hvolsvöllur เมืองเล็กทางตอนใต้ (เดินทางจาก Geysir ใช้เวลาประมาณ 1 ช.ม.) มีที่พักระดับ 2-3 ดาวให้เลือกมากมาย มีซุปเปอร์มาเก็ต “Kronan” ไว้เติมเสบียง ใช้เวลา 15 นาที เพื่อที่จะไปล่าแสงเหนือที่น้ำตก Seljalandsfoss น้ำตกชื่อดังที่สามารถเดินทะลุไปหลังม่านน้ำตกได้ (รองเท้าควรพร้อม ทางเปียกแฉะอาจลื่นล้มได้)
วันที่ 3 ; วันนี้เดินทางไกล จุดมุ่งหมายคือ Jokulsarlon ลากูนน้ำแข็งสีฟ้าขนาดมหึมา ไฮไลท์สำคัญ ที่เหมาะสมกับชื่อประเทศไอซ์แลนด์ ระหว่างทางมีจุดให้แวะชิล ๆ หลายจุด แต่อยากจะแนะนำให้ตรวจสอบสภาพอากาศแล้วไปใช้เวลาให้มาก ณ Jokulsarlan เนื่องจากฤดูหนาวเวลาที่มีแสงในการถ่ายภาพนั้นสั้นเหลือเกิน มี 2 จุดที่ห้ามพลาด คือบริเวณชาดหาดที่เรียกว่า Diamond Beach และ ข้ามถนนมาตรงข้ามตรงจุดที่เรียกว่า Glacier Lagoon
บริเวณที่แนะนำให้พัก : “Hofn” หมู่บ้านชาวประมง ที่มีดีเรื่องของ “กุ้ง” ร้านอาหารท้องถิ่นหลายร้านได้รับความนิยมทั้งจากนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่น ที่นี่เป็นหมู่บ้านใหญ่ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลในเรื่องของซุปเปอร์มาเก็ตและที่พัก แต่เรื่องของแสงเหนือ ถ้าเปอร์เซ็นต์การเกิดต่ำมีเมฆหนาแน่น ก็หาจุดถ่ายรูปขำ ๆ บริเวณรอบ ๆ หมู่บ้านได้ แต่หากฟ้าเปิดเป็นใจและค่า KP สูง ถึงแม้ว่า Hofn จะไกลจาก Jokulsarlon ถึง 80 ก.ม. ก็คุ้มค่าแก่การออกไปล่าแสงเหนือไม่ใช่หรือ ?
วันที่ 4 วันนี้จะเป็นวันที่ขับรถเดินทางย้อนกลับเส้นทางเดิม หากชอบความสวยงามของธารน้ำแข็ง บริเวณรอบ ๆ Jokulsarlon มีเอเจนทัวร์ Half Day Trip บริการนักท่องเที่ยวมากมายหลายเจ้า กิจกรรมน่าสนใจที่แนะนำก็คือ การเข้าไปชมความสวยงามของถ้ำน้ำแข็งส่วนหนึ่งของธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ “Vatnajökull” ราคาค่าบริการก็ใกล้เคียงกันทุกเจ้า สามารถลองดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Glacier Adventure
ระหว่างทางแวะเยี่ยมชม โบสถ์ “Hofskirkja” โบสถ์เก่าแก่ที่มีอายุร่วมร้อยกว่าปีที่ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมท้องถิ่นไอซ์แลนด์แบบดั้งเดิม
อีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่ควรพลาด ก็คือเมือง Vik ที่ตั้งของ “Black Sand Beach” สวยงามแปลกตาไม่เหมือนใคร
บริเวณที่แนะนำให้พัก : “Ásólfsskáli” เป็นหมู่บ้านที่มีขนาดเล็กมาก แต่จุดที่ตั้งอยู่ระหว่างน้ำตก Skógafoss และ Seljalandsfoss ทำให้ภารกิจการล่าแสงเหนือสามารถเลือกได้ทั้งสองที่ ในการเดินทางเพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้น แต่หากต้องการเติมเสบียงซื้อหาของกิน ต้องหาซื้อมาตั้งแต่ที่เมือง Vik ก่อนที่จะเดินทางมาถึงที่นี่ เพราะไม่มีซุปเปอร์มาเก็ตและร้านอาหารบริการในบริเวณนี้
ในที่สุดฟ้าก็เป็นใจ วันนี้โอกาสของเราดีอย่างยิ่งในการที่จะออกล่าแสงเหนือ จากการเช็คข้อมูล แม้ว่าค่า KP จะอยู่ในระดับ 3 แต่ฟ้าเปิดเป็นใจเหมือนมีเทวดามาปัดเป่าพัดพากลุ่มเมฆที่เหมือนรอแกล้งเราอยู่ทุกวันให้หายไปจนหมดสิ้น ดังนั้นไม่เสียเวลา เติมพลังมื้อเย็น เช็คอุปกรณ์ ออกเดินทางล่าแสงเหนือ ณ “Skógafoss “
วันที่ 5 เป็นวันที่จะเดินทางกลับเข้าสู่เมืองหลวง “Reykjavík” เก็บตกไฮไลท์สำคัญช่วงเช้า แล้วช่วงบ่ายก็มีเวลาเที่ยวชมไฮไลท์สำคัญในเมืองหลวง หรือหากจัดสรรค์เวลาได้ แวะแช่น้ำแร่ พอกโคลนภูเขาไฟที่ “Blue Lagoon” ก็เป็นอีกกิจกรรมที่สนุกสนานดีทีเดียว
วันที่ 6 วันนี้มีไฟล์ทบินประมาณสิบโมงเช้า ดังนั้นจึงเดินทางไปสนามบินตั้งแต่ช่วงเช้า ปิดภารกิจล่าแสงเหนือด้วยความประทับใจ
สำหรับเส้นทางที่แนะนำ เป็นเส้นทางที่มองประเด็นสถานที่ที่จะทำการล่าแสงเหนือในยามค่ำคืนเป็นหลัก สามารถปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมกิจกรรมต่าง ๆ ตามรสนิยมความชอบและระยะเวลาการท่องเที่ยวของแต่ละคณะ ไม่มีถูกมีผิด มีแต่ความสุขสนุกสนานเมื่อได้คิดได้วางแผนว่าจะไปชมสถานที่ไหนเข้าพักที่เมืองใด สุดท้ายขอให้ทุกท่านโชคดีในการล่าแสงเหนือสมหวังตามที่ทุกท่านตั้งใจ
ขอบคุณ ภาพถ่ายสวย ๆ จาก คุณเซ้ง Chanchao Amaritchok / ภาพไหนไม่สวย ผมถ่ายเองครับ ฮาๆๆ
Jobby.